เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๗ พ.ย. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราชาวพุทธนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วถึงเผยแผ่ศาสนา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เวลาเผยแผ่ศาสนา ธรรมและวินัยนี้เพื่อจะให้จิตใจฝึกหัดเข้าไปสู่ธรรมะนั้น เวลาเป็นชาวพุทธ พุทธศาสนาสอนถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ เราอยากจะได้มรรคได้ผลกันนะ อย่างน้อยก็ได้โสดาบัน ถ้าได้โสดาบันจะเป็นพระอรหันต์ไปเลยมันก็เป็นความปรารถนา

ฉะนั้น ความปรารถนา เราทำบุญกุศล นี่เป้าหมายของเราคืออยากจะพ้นจากทุกข์ ถ้าพ้นจากทุกข์นะเราต้องมีสติมีปัญญาของเรา ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เห็นไหม เราทำเพื่อเป้าหมายของเรา เป้าหมายของเราคือพ้นจากทุกข์ ถ้าพ้นจากทุกข์ ดูสิ ดูเด็กถ้ามันรู้สิ่งใด มันก็มีความรู้สึกนึกคิดไปตามประสาเด็ก ผู้ใหญ่ก็ต้องสั่งสอนให้เด็กมีปัญญาขึ้นมา พอเด็กมันโตขึ้นมา เด็กมันมีวุฒิภาวะรับผิดชอบ เด็กมันจะรู้ว่าตอนที่เป็นเด็กมันทำสิ่งใดทำตามแต่ใจของตัว พอโตขึ้นมามันมีสติปัญญา เห็นไหม เพราะสติปัญญานั้น ทำให้เด็กนั้นเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา

ถ้าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา เขาประกอบสัมมาอาชีวะของเขาด้วยปัญญาของเขา เขาก็เอาชีวิตของเรารอดได้ แต่ถ้าเด็ก เห็นไหม เด็กมันไม่ยอมโตขึ้นมา เด็กตั้งแต่เกิดจนเด็ก เด็กจนตาย ไม่รับผิดชอบชีวิตของตัวเอง ทำสิ่งใดก็ทำแต่ความพอใจของตัว มันไม่เกิดปัญญาขึ้นมา มันไม่มีปัญญาเอาตัวรอดไง ถ้าปัญญาเอาตัวรอด นี้พูดถึงเอาตัวรอดในทางโลกนะ แต่ในพุทธศาสนา เวลาสอนนี่ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ปัญญารอบรู้ในกองสังขารคือรอบรู้ความรู้สึกนึกคิดของเรา

ถ้าความรู้สึกนึกคิดของเรา เรื่องความรู้สึกของเรามันเป็นธรรมจริงหรือเปล่า ถ้ามันไม่เป็นธรรมจริงทำไมเราไม่สละสิ่งนี้ไป ถ้าสละสิ่งนี้ไปเพื่อเข้าสู่สัจธรรม เห็นไหม เราทำบุญของเรา เราทำบุญเพื่อบุญกุศลนะ ถ้าบุญกุศล คนเวลาเขาทำบุญกุศลที่จิตใจเขาเป็นธรรมขึ้นมา เขาจะไม่ติดสิ่งใดเลย ทำสิ่งใดแล้วเขาถือว่าทำแล้วก็แล้วกันไป แต่ถ้าเราเป็นเด็กน้อย ทำสิ่งใดก็ยึดว่าเป็นของเรา เป็นของเรานะ เราทำบุญกุศลเพื่อพ้นจากทุกข์

แต่เวลาพระในสมัยพุทธกาล เวลาเที่ยวไปได้ผ้าที่หยาบมา เอามารื้อออกแล้วมาทอใหม่ มาทอใหม่นี่ทอให้มันละเอียดขึ้นมา พอละเอียดขึ้นมาก็ได้ตัดเย็บ ตัดเย็บเป็นจีวรขึ้นมา ได้ย้อมคืนนั้น พอคืนนั้น นี่ด้วยความดีใจ เห็นไหม ดีใจว่าเราจะได้จีวรใหม่ๆ คืนนั้นพระองค์นั้นท้องร่วงตายไป พอตายไปไปเกิดเป็นเล็นอยู่ในผ้าจีวรนั้น ถ้าเกิดเป็นเล็นในผ้าจีวรนั้นเพราะเหตุใดล่ะ เพราะเขาอยากได้ผ้าจีวรนั้นไง

เขาปฏิบัติมามีคุณธรรม ปฏิบัติมามีมรรคมีผลเป็นผู้ที่มีคุณธรรม แต่เวลาจิตใจมันไปฝักใฝ่กับผ้าผืนนั้น เวลาตายไปเป็นเล็นอยู่ในผ้าผืนนั้นนะ เวลาเป็นเล็นอยู่ในผ้าผืนนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้ามไว้ เพราะธรรมวินัย เห็นไหม ผู้ใดอุปัฏฐากพระองค์นั้น ถ้าพระองค์นั้นเสียชีวิตไป บริขาร ๘ จะเป็นสิทธิของพระองค์นั้น ถ้าพระองค์นั้นไม่มีผู้อุปัฏฐาก บริขาร ๘ นั้นจะเป็นของของสงฆ์ ให้สงฆ์แจกกัน สงฆ์ก็จะแจกผ้านั้นๆ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานะ มาบอกว่าผ้านี้อย่าไปแตะนะ อย่าเพิ่งไปแจก พระองค์นี้ตายไปไปเกิดเป็นเล็นอยู่ในผ้านี้ ถ้าไปแจก เล็นตัวนั้นจะไม่พอใจ ถ้าไม่พอใจคือไปขัดใจเล็นไง ให้เล็นนั้นอยู่ในผ้านั้นด้วยความสุขของเขา พอช่วง ๗ วัน เพราะเล็นมีอายุแค่ ๗ วัน พอ ๗ วันเขาตายไปด้วยความสุข ด้วยความสุขของเขานะ เขาอยู่ในผ้าของเขา เขาปลื้มใจของเขา เขาว่าเป็นของของเขาไง แล้วเป็นของเขาไหม เพราะเขาตายไปเกิดเป็นเล็นอยู่ในผ้านั้น แล้วตายจากเล็นนั้น ด้วยความสุขของเขา เขาไปเกิดเป็นเทวดา

คำว่า “เกิดเป็นเทวดา” แสดงว่าเขาเป็นพระนี่เขาได้สร้างคุณงามความดีของเขามา แต่ทำไมจิตใจของเขาปักไปที่ผ้าผืนนั้น ทำไมจิตใจของเขาไม่ปักเข้าไปที่บุญนั้น ถ้าจิตใจเขาปักที่บุญนั้น เวลาเขาตายเขาไปเกิดเป็นเทวดาเลย ถ้าเกิดได้มรรคได้ผลเลย ทำไมจิตใจเขาปักไปที่ผ้าผืนนั้นล่ะ

เราทำบุญกุศลกัน เห็นไหม สิ่งที่เราทำบุญกุศล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยนี้ไว้ ให้สิ่งนี้เป็นเครื่องแสดงออกของน้ำใจ ใจเราได้แสดงออกสิ่งนี้ เราได้เสียสละสิ่งนี้เพื่อเจตนาสละออกไป พอเจตนาสละออกไปนี่หัวใจมันได้ไง หัวใจเป็นผู้เสียสละใช่ไหม นี่เวลาเราทำบุญกุศลกันเราก็มอง ดูสิของที่แสวงหามาสิ่งนี้ของประณีตทั้งนั้นแหละ เราเสียสละออกไป คนเขามองทางโลก เขามองด้วยสายตาของเขา นี่เสียสละออกไปทำไม เพราะเป็นวัตถุเราก็เห็นใช่ไหมว่ายื่นจากมือเราไป ไปอยู่มือคนอื่น นี่มันทำบุญกุศล ยื่นจากเราถวายพระมา พระได้มาพระใส่บาตรไปแล้ว แล้วสิ่งนั้นเป็นวัตถุๆ วัตถุนี่เป็นเครื่องแสดงออกของน้ำใจ วัตถุนั้นมันมีชีวิตไหม วัตถุมันมีความรู้สึกไหม? ไม่มี แต่จิตใจของคนที่ประณีต จิตใจของคนที่มีคุณธรรมได้เสียสละสิ่งนั้น จิตใจที่เสียสละสิ่งนั้นมันเป็นทิพย์

เป็นทิพย์ เห็นไหม ดูสิเราทำบุญกุศลมาตั้งกี่ปีกี่ชาติก็แล้วแต่ เรานึกถึงอาหารที่เราเคยเสียสละไปสิ มันยังควันอุ่นๆ อยู่เลยนะ ควันยังขึ้นอยู่เลยนะ มันไม่บูดไม่เนา แต่วัตถุนั้นมันบูดเน่าไหม? บูดเน่า วัตถุสิ่งนั้นเก็บไว้บูดเน่า แต่หัวใจที่ได้เสียสละออกไป สิ่งที่สละออกไปจากมือเรา เราเป็นคนเสียสละออกไป เราจำของเราได้ไง เราจำของเราได้มันเป็นนามธรรม นี่มันเป็นทิพย์ เป็นทิพย์ที่เป็นความรู้สึกในหัวใจ นี่เป็นบุญกุศล ถ้าเราทำเพื่อเหตุนั้น เรื่องสิ่งที่เป็นวัตถุมันไม่มีปัญหาเลยล่ะ เรื่องนี้เป็นของเล็กน้อยมาก แล้วเล็กน้อย เห็นไหม เวลาคนที่ใจเขาประณีตวางแล้วก็จบไง วางแล้วก็แล้วกันไป

นี่พอวางแล้วนะ นั่นของฉัน นั่นของฉัน...ของฉันอย่างไรเสียสละออกไปแล้ว ปฏิคาหก ผู้ให้ ขณะให้ให้ด้วยความชื่นใจ เวลาให้แล้ว พระท่านตักแล้ว ตักไปแล้วสิ่งนั้นจบไปแล้ว นี่ขณะให้ ให้แล้ว เวลาพระที่รับปฏิคาหก ผู้รับด้วยความบริสุทธิ์ รับแล้วเป็นเจตนาที่บริสุทธิ์ เจตนาที่บริสุทธิ์เราก็...นี่เขาว่าสนองศรัทธาๆ ถ้าศรัทธาของเขา เราก็พยายามรักษาศรัทธาของเขา อย่าให้ศรัทธาของเขาคลอนแคลน แต่ก็ไม่ใช่ว่ารักษาศรัทธาของเขา แล้วพระก็ศรัทธาขาด พระก็มีแต่ความทุกข์ยาก เพราะอะไร เพราะต้องเอาใจเขาไง เดี๋ยวศรัทธาเขาไม่มั่นคง

ถ้าภิกษุทำให้ศรัทธาตกล่วงเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ก็กลัวเป็นอาบัติปาจิตตีย์ใช่ไหม ก็เอาแต่ใจเขา ต้องทำอย่างนั้นตามเขา น้อมเอียงตามเขาไป แล้วพระมีจุดยืนไหม นี่มันเศร้าหมองไหม ถ้ามันเศร้าหมอง การประพฤติปฏิบัตินั้นมันจะไปสะดวกไหม คนเราเวลาปฏิบัติ ดูเจตนาของเราสิ ถ้าสงสัยแล้วเราทำสิ่งใด แต่ถ้าไม่สงสัย เรามั่นคงของเรา เราปฏิบัติก็ง่ายขึ้น

ฉะนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีศีลเป็นความปกติของใจ ถ้าใจเป็นปกติมันทำสมาธิก็ทำได้ง่ายขึ้น นี่ถ้าจิตใจมันไม่ปกติ ทำสมาธิมันก็คลอนแคลน มันก็ละล้าละลัง เห็นไหม หัวใจสำคัญมากนะ นี่เราทำบุญกุศลเพื่อหัวใจดวงนี้ไง เราไม่ได้ทำบุญกุศลเพื่อวัตถุสิ่งนั้น เราไม่ได้ทำบุญกุศลที่ไปติดที่วัตถุนั้น วัตถุนั้นจะต้องออกหน้าออกตา เอาวัตถุนั้นมาเชิดหน้าชูตา แล้วทำไมไม่กอดวัตถุนั้นล่ะ กอดวัตถุนั้นไว้สิ ทำไมเราต้องเสียสละวัตถุนั้นไปล่ะ เราเสียสละวัตถุนั้นเพื่อหัวใจของเราใช่ไหม เราเสียสละวัตถุนั้นไปเพื่อจิตใจของเราเข้มแข็งขึ้นมาใช่ไหม เราเสียสละวัตถุนั้นให้หัวใจเราพัฒนาขึ้นมาใช่ไหม

เหมือนเด็กไง เด็กถ้ามันมีปัญญาขึ้นมาก็เป็นผู้ใหญ่ใช่ไหม มันก็ไม่เรียกร้องเอาแต่ตามใจของมันเพราะมันมีเหตุมีผล เด็กที่มันเรียกร้องเอาตามใจของมันเพราะมันไม่มีเหตุมีผลไง อารมณ์ความรู้สึกอย่างไรก็คิดอย่างนั้นแหละจะเอาแต่ตามใจตัวๆ ไง มันไม่มีเหตุมีผลสิ่งใดมาเป็นเครื่องประกอบเลย แต่พอเราโตขึ้นมาเรามีเหตุมีผลของเราใช่ไหม เราอายเนาะ เมื่อก่อนเราเป็นเด็กเราไม่รู้ เราก็ตีโพยตีพายจะเอาแต่ใจของตัวเนาะ เออ! เดี๋ยวนี้เรารู้ว่าทำแล้วมันผิดพลาด มันไม่ดีเลยเนาะ เราจะไม่ทำสิ่งนั้น ไม่ทำสิ่งนั้น เห็นไหม นี่คืออะไร นี่จิตใจมันโตขึ้นมา จิตใจมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา เห็นไหม ถ้าจิตใจมีหลักมีเกณฑ์ มันคืออะไรล่ะ? คือความปกติของใจ

ศีลคือความปกติของใจ ถ้ามันมีศีลของมัน มันรักษาใจให้มันตั้งมั่นขึ้นมา มันมีความปกติของมัน แล้วมีความปกติ พอปกติมันก็ไม่คิดมากไง แต่มันไม่ปกติใช่ไหม อู๋ย! นู่นก็ของเรา นี่ก็ของเรา นู่นก็วัตถุของเรา มันยังไปเกาะอยู่นะ เป็นจิ้งจกหรือ เป็นคนนะ คนเสียสละไปแล้วอย่าไปเกาะมัน นี่เราเสียสละไปแล้วก็เป็นเราเสียสละไปแล้ว ถ้าเสียสละไปแล้ว นี่ปฏิคาหกมันจะได้บุญกุศลมาก ถ้าบุญกุศลมาก เราอย่าไปติดวัตถุ วัตถุเราทำเพื่อเป็นเครื่องแสดงออกของน้ำใจเท่านั้นแหละ ถ้าจิตใจนี้ได้แสดงออกแล้ว มันได้พัฒนาของมันแล้ว

นี่ที่ว่าคนตายเป็นทิพย์ๆ ไง เป็นทิพย์ ทำสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น แต่ถ้าไปเกาะมัน นี่ปฏิคาหก ปฏิคาหกถ้ามันเศร้าหมอง เห็นไหม บุญของเรามันจะสะอาดบริสุทธิ์ บุญของเราจะได้ผลมาก ทำไมบุญของเราทำบุญแล้ว นี่เขาทำบุญแล้วเขาชื่นบานเนาะ เขามาแล้วเขาชื่นบาน เขาตบมือ เขาดีใจ ไอ้เราทำบุญเสร็จแล้วหน้าเศร้า กลัวไม่ได้บุญไง

ทำไมเขาได้บุญล่ะ เพราะเขาไม่ติดไง เขาเสียสละปั๊บเขาก็ชื่นใจของเขาใช่ไหม ไอ้เราก็เอ๊! เอ๊! อยู่นั่นแหละ นี่ใจมันเศร้าหมอง ถ้าใจมันไม่เศร้าหมอง เห็นไหม เราต้องมีสตินะ ของแค่นี้เอง วัตถุนี่เราหามาเพื่อเสียสละมัน เราไม่ได้หามาเพื่อมาหวงแหนมัน เราไปหวงแหนมันทำไม เราได้มาแล้ว เราเสียสละไปแล้วมันก็จบแล้ว

ถ้ามันจบแล้ว นี่จิตใจมันพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าจิตใจพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ เรานั่งอยู่ที่ไหนนะ เราทำบุญสิ่งใดนะมันพอใจ มันไม่ติดไม่ข้องไปไง เห็นไหม คนที่เขาทำใจได้เขาจะไม่หวั่นไหวไปอย่างนั้น คนที่ทำใจไม่ได้ล่ะ นี่เวลาของเป็นพิษนะ เราหายใจอากาศเป็นพิษเราก็ตาย เราจะหายใจที่อากาศบริสุทธิ์ แต่เวลาหัวใจของเรามันไปกว้านสิ่งนั้นมา มันเป็นพิษหรือมันไม่เป็นพิษล่ะ ถ้ามันเป็นพิษแล้วทำไมเราไม่เสียสละล่ะ ทำไมเราไม่มีปัญญาวางมันล่ะ

ถ้าเราไม่มีปัญญาวางมันก็ไปยึดมันอยู่อย่างนั้นแหละ นั่นของฉันๆๆ...ไปยึดมันทำไม ไปยึดมันทำไม ก็เราหามาเสียสละ เราตั้งใจมาเสียสละ เราตั้งใจมาว่าเราจะเสียสละอยู่แล้วใช่ไหม เราตั้งใจเพื่อจะพัฒนาใจเราใช่ไหม เราตั้งใจจะเสียสละ จะพัฒนาใจของเรา แล้วเราไปยึดมันทำไม เราไปยึดมันทำไม

เราไม่ยึดมัน ไม่ยึดมันนี่หลวงพ่อด่าทุกวันเลย ใครมานี่ด่าเขาทุกวันเลย หลวงพ่อนี่ตัวยึดเลย

ไม่ใช่ยึด หลวงพ่อเป็นคุมเกมส์ไง

เวลาหลวงตาท่านบอกว่า ที่วัดป่าบ้านตาด ท่านบอกว่ามันเหมือนสระน้ำ สระน้ำนั้นใครเข้ามา ถ้าสระน้ำนั้นมันใส มันสะอาด มันบริสุทธิ์ ใครเข้ามาก็ได้ตักน้ำดื่มกินด้วยความสบายใจของเขา ถ้าสระน้ำนั้นมันมีแต่มูตรแต่คูถที่คนมาปัสสาวะอุจจาระถ่ายทิ้งไว้ คนหิวกระหายมาเขามาเจอแหล่งน้ำนั้น เขาจะกินแหล่งน้ำนั้นเขาก็สะอิดสะเอียน แต่เขาก็ต้องพยายามกินเพราะเขาหิวกระหายของเขามา แต่เขาเลือกได้เขาไม่กินหรอก ถ้าเขาเลือกได้เขาก็ต้องเลือกแหล่งน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์ทั้งนั้นแหละ

แล้วหลวงตาท่านบอกท่านเป็นคนเฝ้าบ่อน้ำนั้น ท่านเป็นคนเฝ้าสระน้ำนั้น ท่านเป็นคนดูแลสระน้ำนั้น ฉะนั้น ใครจะมาทำสระน้ำนั้นให้สกปรกโสโครกไปท่านถึงจะต้องคอยบอกคอยเตือนเขา นี้คนบอกคนเตือนกับการติด ต่างกันไหม นี่ไงบอกว่าอย่าติด เสียสละแล้วนี่ไม่ต้องไปติดมัน หลวงพ่อนั่นน่ะตัวติดเลย ใครมานี่อัดเขาทั่วเลย

อัดเขาเพราะอะไร เพราะมันจะทำสระน้ำนั้นให้ปั่นป่วน มันจะทำสระน้ำนั้นให้เศร้าหมองกันไป นี่ที่พูด พูดเพราะเหตุนั้น เห็นไหม เวลาสอนเขาต้องสอนตัวเองด้วย เวลาสอนเขานี่สอนเขาหมดเลยนะ คนนู้นก็ต้องเสียสละ คนนี้ต้องเสียสละ ไอ้พระนั่นน่ะตัวดีเลย มันเอาไว้คนเดียว แต่ถ้าคนเขาเสียสละมา เห็นไหม ปฏิคาหก ถ้าพระเอาไว้คนเดียวไม่ใช่ปฏิคาหก เพราะมันไม่สะอาดบริสุทธิ์ มันไม่เป็นตามความเป็นจริง

ปฏิคาหก เห็นไหม ผู้ให้ให้ด้วยความตั้งใจให้ ขณะที่ให้ ให้แล้ว นั่นเป็นปฏิคาหกเป็นผู้ให้ ผู้รับ รับแล้วเป็นส่วนกลาง เป็นของของสงฆ์ใช่ไหม สงฆ์เจือจานกัน สงฆ์แบ่งกัน สงฆ์ดูแลกัน ถ้าสงฆ์ดูแลกันแล้ว พอได้สิ่งที่เสมอภาคกันแล้วมันจะลำเอียงไหม? มันจะไม่ลำเอียงนะ เวลาภาวนามันก็ดี แต่ไอ้นี่เวลาภาวนานะ ดูสิหัวหน้านี่อู้ฮู! มีเต็มไปหมดเลย ไอ้ลูกน้องท้องแห้งเลย แล้วก็บอกพุทโธนะ พุทโธ ไอ้หัวหน้ามันพุทโธลงสิเพราะมันพอใจมัน ไอ้ลูกน้องพุทโธไม่ลงนะ เพราะว่าพุทโธแล้วมันติดใจตอนเช้า นี่มันยังคาใจอยู่ มันพุทโธไม่ลง ปฏิคาหก เห็นไหม อย่าว่าแต่โยมเขา เขาปฏิคาหก พระก็ปฏิคาหกเหมือนกัน ฉะนั้น สิ่งนี้เป็นเครื่องไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ รู้ว่าสิ่งใดทำจิตใจนี้ให้เป็นพระอรหันต์ ความที่เป็นพระอรหันต์มันต้องเกิดมรรคญาณ ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ สติชอบ สมาธิชอบ ความชอบธรรมของมรรค ถ้าความชอบธรรมของมรรค มันต้องวางสิ่งที่เป็นวัตถุเข้ามามันถึงจะเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมแล้วมันต้องสร้างรูปขึ้นมา พยายามพัฒนาขึ้นมาจากสติ จากสมาธิ จากปัญญา

ปัญญาที่เป็นโลกียปัญญาคือปัญญาของโลก ปัญญาวิชาชีพนี้ ปัญญาที่เราไบร์ทกันนี่ มีความคิด มีความจินตนาการ นี้คือโลกียปัญญา ปัญญาอย่างนี้เกิดจากภวาสวะ เกิดจากภพ เกิดจากปฏิภาณ เกิดจากสัญชาตญาณของจิต จิตที่มันมีพื้นฐานที่ได้สร้างคุณงามความดีมา มันจะมีปัญญาของมัน ปัญญาที่มันพัฒนาการของมันที่รู้เท่าทันโลก ที่มีวิชาชีพ ที่มีการพัฒนาของจิตดวงนี้ได้ แต่จิตดวงนี้มันก็เป็นผลของวัฏฏะ เพราะมันเกิดจากเวรจากกรรม มันก็มีผลของวัฏฏะ คือทำดีได้ ทำชั่วได้ชั่ว เวียนไปในวัฏฏะนั้น

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้วางสิ่งนี้ไว้ด้วยอานาปานสติ ด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออกจนจิตมันสงบระงับเข้ามา จิตสงบระงับเข้ามาเพราะกิเลสมันไล่ตามความรู้สึกนึกคิดนี้ไม่ทัน ถ้ากิเลสกับความรู้สึกนึกคิดมันเป็นอันเดียวกัน ความคิดถึงเป็นเรา ความรู้สึกนึกคิด ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความผูกพันในใจมันเป็นเรา แต่พอมีอานาปานสติ มีลมหายใจเข้า-ออก มีสติตามความรู้สึกนึกคิดทัน จิตนี้มันวางความรู้สึกนึกคิดนั้น มันเป็นอิสระของมัน เห็นไหม มันเป็นสัมมาสมาธิ

พอเป็นสัมมาสมาธิ ถ้ามันน้อมไปในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม น้อมไป มันน้อมไป มันน้อมไปเพราะคนเราติดที่กายเรานี่แหละ คนเราติดที่จิตเรานี่แหละ คนเราติดที่เวทนา ความรู้สึกนึกคิดของเรานี่แหละ คนเราติดธรรมารมณ์ คืออารมณ์ความรู้สึกของเรานี่แหละ ถ้าจิตมันวางสิ่งต่างๆ เพราะกิเลสมันสงบตัวลงมันถึงเป็นสัมมาสมาธิ พอมันเป็นสัมมาสมาธิ เห็นไหม นี่ไงความดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ สมาธิชอบไง

ความมีสมาธิชอบ สมาธิไม่ชอบ สมาธิไม่ชอบก็เป็นสมาธิแล้วออกรู้นั้นออกรู้นี้ สมาธิเป็นสมาธิแล้วก็มีฤทธิ์มีเดช เห็นไหม นั้นสมาธิไม่ชอบ มันเป็นมิจฉาสมาธิ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ มันเกิดขึ้นมามันเกิดปัญญาขึ้นมา ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา นี่พอภาวนา ปัญญามันเกิดขึ้นมาจากอะไร? ปัญญามันเกิดจากการภาวนา ปัญญามันเกิดจากศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญามันเกิดจากภาวนามยปัญญา ปัญญามันเกิดจากจิต ถ้าปัญญาอย่างนี้มันเกิดขึ้น มันเกิดมรรคญาณที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาจากมรรคญาณ เกิดจากญาณในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ให้พวกเราก้าวเดินตามธรรมวินัยนี้ไว้ ธรรมวินัยนี้วางไว้ให้จิตมันพัฒนา ให้จิตนี้มันพัฒนาขึ้นมาไปสู่ภาวนามยปัญญา ถ้ามันจะไปสู่ภาวนามยปัญญา เราต้องพัฒนาของเราขึ้นไปไง เราไม่ใช่ไปติดอยู่ที่ว่าเราทำสิ่งใดแล้วเราจะติดยึดมั่นอยู่อย่างนั้นไง มีความรู้สึกนึกคิดอย่างใดแล้วก็เกาะมันไว้ไม่ยอมปล่อยไง นี่กิเลสมันยิ่งกว่าตีนตุ๊กแกนะ ตุ๊กแกมันเกาะสิ่งใดแล้วมันไม่ตกนะ ไอ้นี่กิเลสมันเกาะความรู้สึกนึกคิดไว้ ทิฏฐิมานะของตัว อะไรที่มันฝังใจเกาะไว้อย่างนั้นแหละแล้วมันปล่อยวางไม่ได้ เห็นไหม

เรามีสติปัญญานะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นพระอรหันต์มาก่อน ฉะนั้น ท่านถึงรู้จักกิเลสว่ากิเลสมันร้ายกาจแค่ไหน ฉะนั้น เวลาเราทำบุญกุศลกันนี่ทำบุญเพื่อสิ่งใด ทำขึ้นมาเพื่อเราปรารถนาอะไร โสดาบันใช่ไหม เราปรารถนาเป็นพระอรหันต์ใช่ไหม เราไม่ได้ปรารถนาเพื่อจะเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะนะ เราไม่ได้ปรารถนาว่าจะต้องมาทุกข์มายากอยู่นี่อีกนะ

ฉะนั้น บุญกุศลนี้ สิ่งที่เราทำบุญกุศลนี้มันเป็นทางไง มันเป็นทางผ่านให้จิตนี้พัฒนาขึ้นไป ถ้าจิตนี้พัฒนาขึ้นไป เราทำบุญกุศลเพื่อบุญของเรา เห็นไหม ดูพระสิเวลาปฏิบัติขึ้นมาแล้ว เวลาตายไปยังไปเกิดเป็นเล็นอยู่ในผ้านั้น เพราะอะไร เพราะเป้าหมายตั้งไว้ผิด ถ้าเป้าหมายตั้งไว้ถูก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องบอกว่าอย่าแจกๆ นะ ให้ ๗ วันก่อน ให้เล็นหมดอายุนี้ก่อน เล็นนี้ไม่รู้สึกตัวเลย อยู่ในผ้านั้น ยังดีใจกับผ้านั้น มีความสุขกับผ้านั้น แต่เพราะเขาได้เป็นพระ เขาได้ปฏิบัติมา เวลาเขาตายจากเล็นนั้นเขาไปเกิดเป็นเทวดา เห็นไหม ดูสิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมตตาขนาดนั้นนะ เมตตาให้จิตทุกดวงมันพัฒนาขึ้นไป แล้วจิตของเรามันพัฒนาไหม จิตของเรามีหลักมีเกณฑ์ไหม

ทีนี้เราทำบุญกุศลกันเราทำเพื่อเป็นธรรม เราทำเพื่อหัวใจของเรา เราอย่าไปยึดติดมัน ทำแล้วก็แล้วกันไป ให้จิตใจพัฒนาขึ้น เพราะมรรคญาณนี้ ปัญญาอันนี้มันจะเกิดกับเรา ปัญญาที่เกิดขึ้นมามันมีผลประโยชน์กับเรา เห็นไหม อันนี้มันแค่เป็นทางผ่านนะ วัตถุเป็นเครื่องแสดงออกของใจ ใจมันได้แสดงออก มันได้พัฒนาของมัน แล้วเวลามรรคญาณ เห็นไหม ดูสิธรรมจักรๆ มันก็เป็นทางผ่านนะ เวลาถึงที่สุดแล้วมันปล่อยหมดนะ มันต้องปล่อยญาณอันนั้นนะ มันต้องปล่อยมรรคผลนั้น เขาจะเข้าไปถึงอกุปปธรรม เข้าไปถึงสัจจะความจริง เห็นไหม มันต้องปล่อยหมด แล้วมันปล่อยอย่างไร มันปล่อยอย่างไร

อ้าว! คนรู้มันจะปล่อย มันจะปล่อยของมัน มันจะมีปัญญาของมัน

นี่มันสัมปยุตเข้าไป เห็นไหม สัมปยุต วิปปยุตคลายออก นี่กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แล้วจิตนี้มันรวมลง แล้วมันรวมลงอย่างไร แล้วมันทิ้งอย่างไร มันคลายออกอย่างไร สิ่งนี้มีอยู่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งนี้ผู้ใดประพฤติปฏิบัติ ผู้นั้นจะมีคุณธรรมในหัวใจจริง หัวใจอันนี้ เห็นไหม หัวใจอันนี้มันถึงเห็นที่มาที่ไป มันเห็นนี่เหมือนหมอเลย หมอเห็นเครื่องของแสลงของโลก เห็นสิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์กับร่างกายที่กินเข้าไป

นี่ก็เหมือนกัน บุญกุศล เราทำบุญเราต้องมีสติปัญญาของเรา สิ่งใดที่มันแสลง สิ่งใดที่มันเป็นโทษกับเรา อย่าไปเอามันมาปักเสียบใจเจ็บ คิดทีไรก็เจ็บทุกที แล้วทำไมไม่เอาออก แล้วก็ยังหมั่นคิดหมั่นทำ แล้วก็ให้เจ็บช้ำน้ำใจอยู่คนเดียวน่ะ ทำทำไม ทำไมไม่มีสติ ทำไมไม่พัฒนาขึ้นมา สิ่งที่ทำแล้วก็ทำแล้ว พัฒนาใจขึ้นมาให้มันรู้เท่า แล้วให้มันมีประโยชน์กับเรา เห็นไหม นี่ศาสนาสอนเรื่องมรรคเรื่องผลนะ เราทำบุญกุศลก็เพื่อใจของเรา ใจเราจะพัฒนาขึ้นมาเพื่อเรานะ

ปฏิคาหก อย่าไปยึดติดมัน ทำก็ทำ ทำเพื่อเป็นทางผ่าน เพื่อพัฒนาใจดวงนี้ ให้ใจดวงนี้มีคุณประโยชน์กับเรา ใจของเราแท้ๆ เรายังไม่รู้จักว่าอะไรเป็นประโยชน์เป็นโทษกับใจของเราเองอีกหรือ ใจของเราแท้ๆ เราต้องดูแล หมั่นดูแลให้ใจของเราพัฒนาขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง